บทนำ-บทที่ 1 (กำลังเขียนเพิ่ม)

<- บทนำ เรื่องบังเอิญ ->

รถที่วิ่งไปตามถนนด้วยความเร็วสูง เครื่องยนต์เสียงก้องกังวาน แสงสีส่องสว่างในยามค่ำคืน
          และแล้วก็มีรถอีกคันหนึ่งดริฟออกมาจากซอยสู่ถนน เกิดเป็นกลุ่มควันที่ออกมาจากสองล้อหลังและรอยเบรกบนพื้นถนนยางมะตอย รถคันนี้ขับไล่ตามรถที่ซิ่งอยู่บนถนนก่อนหน้านี้
รถสีดำขับส่ายไปมาเพื่อพยายามไม่ให้รถสีส้มแซงขึ้นมาได้ เสียงเครื่องยนต์ของรถทั้งสองต่อสู้กันบนถนนที่มีตึกและอาคารตั้งอยู่ข้างทาง
          ตอนนี้ข้างหน้าเป็นอาคาร มีแค่ทางเลี้ยวไปด้านซ้ายเท่านั้น รถทั้งสองดริฟผ่านโค้งตามกันไปเหมือนกับว่ามีเชื่อกล่องหนผูกติดกันให้ทำอะไรเหมือนกันทุกประการ ภายในล้อของรถคันหลังเกิดแสงสีแดงส้มคล้ายดวงอาทิตย์ในยามกลางวันขณะดริฟ
          รถทั้งสองวิ่งออกจากโค้งด้วยความเร็วที่สูงขึ้นกว่าเดิม รถสีส้มส่งเสียงร้องคล้ายกับเปลวเพลิงถูกจุดขึ้น พร้อมกับเพลิงที่ออกมาจากท่อไอเสีย นั่นเป็นการใช้ไนตรัสที่ช่วยให้พุ่งแสงรถสีดำข้างหน้าไปได้อย่างสบายๆ
          "เปรี้ยง!"
          สายฟ้าพุ่งลงมาบริเวณด้านซ้ายของรถสีดำในระยะเผาขน ทำให้รถเสียหลักแล้วกลิ้งตามหลังรถสีส้มไปหลายเมตร เศษโลหะและกระจกกระจัดกระจาย รถสีส้มดริฟหยุดกลับหลัง เพื่อดูความเสียหายของรถสีดำ จากนั้นก็ขับผ่านไปด้วยความเร็วปกติ

ซากรถสีดำระเบิด เกิดเป็นประกายไฟลอยขึ้นสูง ในขณะที่รถสีส้มก็ขับต่อตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 <- บทที่ 1 บัตรเชิญจากนักธนูนิรนาม ->

ไม่ออก "นักโทษหมายเลข 9 มาที่ห้องรับคำสารภาพเดี๋ยวนี้"
          ความงัวเงียค่อยๆคลายออก ดวงตาเห็นวงกลมสีขาวสว่างจ้า เมื่อพยุงตัวขึ้นนั่งขาก็ห้อยลงแตะพื้นในท่านั่งเก้าอี้ แต่ความนุ่มที่ก้นบอกว่านี้เป็นเตียง
          สายตาที่ยังเปิดไม่เต็มที่ถูกสมองบังคับให้สำรวจรอบๆตัว สิ่งที่เห็นคือกำแพงคอนกรีตสีเทาค่อนข้างเก่า และประตูกรงเหล็กที่เปิดอยู่
          "คุก งั้นหรือ?"
          การคาดเดาน่าจะไม่ผิด เพราะมีตำรวจสองคนเดินมา โดยคนหนึ่งถือกุญแจมือ ท่าทางน่าเกรงขามขนาดที่หาความโล่งใจไม่ได้ ตำรวจทั้งสองกระชากตัวเขาจากเตียงอย่างรุนแรง พร้อมทั้งใส่กุญแจมือเป็นเครื่องประดับให้อีก
          ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ขัดขืน จะเจออะไรก็ต้องเจอ ไม่มีความกลัวต่อสิ่งที่ใกล้เข้ามา ระหว่างนั้นสายตาของคนที่ใส่ชุดสีส้มฉบับเครื่องแบบนักโทษก็มองเขาด้วยสีหน้าหมั่นไส้
          เมื่อมาถึงห้องที่ใครก็ไม่รู้เรียกให้เขามา(หรือกระชากมา) ทุกสายตาก็สะกดมาที่เขา เหมือนเป็นดาราที่เคยออกทีวีหลายๆช่อง แต่สถานการตอนนี้คงไม่ใช่การออกรายการเกมโชว์แน่นอน
          "นักโทษหมายเลข 9 หรือนายเรส จะยอมรับข้อหาปล้นชิงทรัพย์ ขับรถเร็ว ครอบครองอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ขัดขืนการจับกุมของเจ้าหน้าที่ และฆ่าผู้อื่นหรือไม่"
          "ผมขอปฏิเสธข้อหาฆ่าผู้อื่นครับ!"
          ตอบออกไปด้วยความมั่นใจเต็มร้อย ถึงเขาจะชอบซิ่ง แต่ไม่ชอบการโกหก และที่สำคัญ เขาไม่เคยฆ่าใครเลยตั้งแต่จำความได้ ซ้ำยังฆ่าใครไม่เป็นอีกด้วย
          ผม เรส อายุ 18 ปี เรียนอยู่มัธยมปี 6 ไม่เคยขาดเรียนเลยแม้แต่วันเดียว ยกเว้นวันนี้ที่ผมมาขึ้นศาล ผมจะซิ่งรถทุกวันหลังเลิกเรียน แล้วออกปล้นเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าเทอม ค่าเทอมในโรงเรียนผมแพงเป็นอันดับ 3 ของบรรดาโรงเรียนที่ค่าเทอมแพงที่สุดในญี่ปุ่น
          ทำไมพวกเขาถึงถามว่าผมปล้นเพราะอะไร ทั้งที่คนรวยอย่างพวกเขาไม่เคยให้เงินผมเลย พวกคุณเป็นคนดีนะ พวกคุณให้ผมปล้นเพื่อประทังชีวิต นั้นเป็นการบริจาคที่ดีมากเลยล่ะ
          วันที่ 9 ของการติดอยู่ในคุกอันแสนน่าเบื่อ
           "เกรดเฉลี่ย 4.00 หรือ เจ๋งไปเลย มีคนแบบนี้อยู่ด้วยหรือเนี่ย!"
          "ไม่เอาน่าอเล็กซ์ นักซิ่งทุกคนไม่ได้แย่ขนาดนั้นเสียหน่อย"
          เรสสนทนากับเพื่อนนักโทษในโรงอาหาร ขณะที่กำลังรับประทานอาหารเช้ากันอยู่ อเล็กซ์น่าจะอายุคราวเดียวกันกับเขา และดูเหมือนจะสนใจเขามากๆ ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้ทนงตนที่มีคนสนใจ
          เรสรู้จักอเล็กซ์เป็นคนแรกในคุกอันตรายนี้ เขากวาดพื้น ล้างจาน เช็ดโต๊ะ เห็นแบบนี้แต่ติดคุกเพราะฆาตกรรมต่อเนื่อง พอติดคุกก็เริ่มเป็นคนดี ต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง มีแต่เรสที่รู้เรื่องนี้
          "ว่าแต่นายโดนโทษติดคุกกี่ปีหรือ?"
           "4 ปีเอง ไม่นานหรอกน่า"
          อเล็กซ์หยุดนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วก็แสดงสีหน้าเห็นอกเห็นใจออกมา ตัวเขาเองเห็นแบบนั้นก็ถึงกับวางช้อนส้อมลง แล้วรอฟังคำพูดต่อไปของอเล็กซ์
          นักโทษคนอื่นก็ยังคงรับประทานอาหารกันตามปกติ เหมือนกับว่าไม่มีใครรู้จักกัน แล้วก็น่าจะไม่อยากทำความรู้จักกันด้วย
          "ฉันโดนโทษติดคุกน้อยกว่านาย แล้วก็เหลือเวลาอีกไม่นานก่อนที่ฉันจะออกจากคุกนี้ ถ้าเป็นอย่างนั้นนายจะอยู่ยังไงล่ะ"
          "ไม่ต้องห่วงฉันหรอกน่า ถ้าลองนับเวลาแล้ว ตอนนั้นฉันก็น่าจะทำงานได้พอดี"
 หนึ่งในกฎหมายใหม่ ที่ออกมาเมื่อสมัยที่เขายังอยู่ประถมก็คือ เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ ห้ามทำงาน กฎหมายข้อนี้ทำให้เด็กที่อยู่ตัวคนเดียวอย่างเขา ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม เพราะเขาไม่มีมรดกติดตัวเลย
          -และนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นจอมโจร
  ต้องอยู่ในคุก 4 ปี แล้วหลังจากนั้นก็จะสามารถทำงานได้เหมือนกับคนอื่นๆ โดยไม่ต้องสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนอีกต่อไปอีกต่อไป
          "จริงด้วยสิน้า ว่าแต่นายจะทำงานอะไรหรือ ฉันอาจจะไปทำก่อนแล้วจองตำแหน่งเอาไว้ให้"
          "ไม่รู้สิ คงจะเป็นงานที่เกี่ยวกับรถนั้นแหละ แต่ว่าไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ ยังไงเราก็เปลี่ยนงานได้เรื่อยๆอยู่แล้ว"
          ที่เขาพูดมาก็ถูก อาชีพก็เหมือนกับทรงผม สามารถเปลี่ยนได้เรื่อยๆ เว้นแต่มันจะสั้นเกินไป และก็คงไม่มีใครทำอาชีพที่ตนไม่ชอบ เว้นแต่จะไม่มีตัวเลือก
           "นักซิ่งไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายดีหรือร้ายก็ละทิ้งวิถีนักซิ่งไม่ได้สินะ"
          เรสยิ้มแบบมีเลศนัย คล้ายยอมรับและชมคำคมที่อเล็กซ์แต่งให้ นักซิ่งก็ยังคงมีวิถีนักซิ่ง แม้จะอยู่ในคุกอันอัตคัดที่ไม่มีแม้แต่ตู้เกมรถแข่งหรือภาพรถแข่งติดตามทางเดินเลยก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นภาพของถนนและอาคารต่างๆที่พุ่งเข้ามาก็ยังคงอยู่ในหัว
          “กริ้งงง!!!
          เสียงกริ่งภายในห้องรับประทานอาหารดังขึ้น ทำให้เขาตกใจเล็กน้อย อเล็กซ์ก็เลยแอบหัวเราะเบาะๆเนื่องจากสัญชานตญาณการตกใจของเรสตื่นขึ้นแบบไม่คาดคิด ประมาณว่าคนว่ายน้ำเป็นดูเพื่อนตัวเองกำลังตกใจกับน้ำตื้นยังไงอย่างงั้น
          เรสเองก็ได้แต่ทำหน้าเหมือนแมวที่กำลังงอน เพราะเสียงที่ดังมากจนเด็กที่ยังหูดีอยู่อย่างเขาแทบอยากจะปิดมันซะตอนนี้เลยหากทำได้ แต่ก็ทำได้แค่ปั้นหน้าโกรธเงียบๆเหมือนแมวโกรธเจ้าของ
          “เอาล่ะ ได้เวลาออกกำลังกายแล้วสินะ”
          “เรียนรู้เร็วเหมือนกันนี่นาย”
          จากประสบการณ์ที่อยู่ในคุกมา 9 วัน ทำให้เขาพอจำตารางกิจกรรมในคุกอันน่าเบื่อนี้ได้ ง่ายกว่าการจำตารางเรียนด้วยซ้ำ กิจกรรมในคุกส่วนใหญ่จะไม่น่าสนใจ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีข่าวเกี่ยวกับนักเรียนหลายคนในสังคมที่ไม่ชอบเรียน แต่ชอบทำตัวเป็นโจรเพื่อให้มาติดคุกอันน่าเบื่อ คิดด้วยหลักเหตุผลยังไงก็แก้สมการนี้ไม่ได้สักที
          “ถึงเรียนรู้เร็วแค่ไหนก็ต้องติดอยู่ในนี้อีกนานล่ะนะ”
          ความฉลาดที่ใช้และได้มาในการเรียนแทบไร้ประโยชน์ในคุกซึ่งมีแต่คนไม่น่าคบหา แต่ถ้าคิดดูเล่นๆเขาก็น่าจะใช้ความรู้ที่มีแหกคุกนี้ออกไปได้แบบตำรวจไม่ทันกระพริบตา ถึงยังไงก็ไม่ทำแบบนั้นหรอก ก็เขาเป็นคนดีนี่หน่า
ผ่านไปแล้ว 5 หน้า
          เมื่อเดินตามฝูงชนเสื้อสีส้มมาได้สักพัก ใบหน้าก็เผชิญกับแสงแดดยามเช้า เขาหรี่ตาลงและค่อยๆปรับสภาพสายตาเข้ากับแสงแดดนี้ เขามองสำรวจรอบๆลานกว้าง มีนักโทษหลายกริยาอยู่กระจัดกระจายกันไป บางคนนอนหลับบนเก้าอี้แต่แขนขาหล่นลงมาแตะถึงพื้น บางคนวิ่งบนลู่วิ่งโดยใช้ความเร็วต่ำจนไม่น่าเรียกว่าวิ่งด้วยซ้ำ ควรจะให้เด็กทารกใช้หัดเดินยังคุ้มกับพลังงานไฟฟ้าที่เสียไปซะกว่า
          “ฉันขอเล่นของเล่นชิ้นเดิมละกันนะ นายจะลองเล่นไหมล่ะ”
          เพื่อนที่พึ่งคุยกันเมื่อไม่นานมานี้ยืนอยู่ข้างเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ชี้ไปยังเครื่องออกกำลังกายเครื่องหนึ่ง ซึ่งมันก็คือ
          -มันชื่ออะไรล่ะนั้นน่ะ
          รูปร่างคล้ายเพลาของรถยนต์ ทำจากวัสดุโลหะเมื่อดูจากพื้นผิวที่มันวาว มีคนกำลังนอนและยกมันขึ้นลงขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง แสดงให้เห็นว่ามันหนักไม่ใช่น้อย ตัวเขาเองไม่ค่อยได้ออกกำลังกายก็เลยไม่รู้จักมัน และก็กลัวว่าถ้าใช้แล้วมันจะหล่นมาทับ เขาจึงไม่กล้าเสี่ยง
          “นายเล่นไปเถอะ ฉันอยากจะสำรวจที่นี่อีกสักหน่อยนะ”
          “คงไม่ได้คิดจะแหกคุกหรอกนะ”
          “มีตำรวจเยอะขนาดนี้ใครจะกล้าทำแบบนั้นล่ะ”
        เรสจบการสนทนาโดยการเดินไปริมรั้วเหล็กที่สูงประมาณ 2 เมตรซึ่งมีรวดขดไปมาอยู่ข้างบน มันน่าจะเป็นรั่วไฟฟ้าดีๆนี่เอง ส่วนอเล็กซ์ก็เริ่มการออกกำลังกายสุดยากลำบากด้วยเครื่องออกกำลังกายที่เรสยังไม่เคยได้สัมผัสสักครั้งในชีวิต
          “มีป้อมติดกับรั้วด้วยหรือเนี่ย”
          รั้วไฟฟ้าไม่ได้ยาวเป็นส่วนเดียวกัน แต่แบ่งเป็นช่วงโดยมีป้อมของตำรวจยึดรั้วสองช่วงเข้าด้วยกัน ป้อมนี้สูงมากกว่ารั้วไฟฟ้าพอสมควร ด้านล่างของป้อมมีประตูและที่รูดบัตร ซึ่งคงจะต้องใช้บัตรเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น ขนาดของมันบอกว่าด้านในไม่ได้ใช้ขั้นบันได แต่ต้องเป็นบันไดลิงจึงจะเข้ากับขนาดของมัน
           ถึงจะเข้าไปได้ก็คงต้องปีนบันไดลิงขึ้นไปแล้วกระโดดออกไปข้างนอก ผ่านความสูงกว่า 3 เมตร ที่น่าจะทำให้เจ็บได้ไม่น้อยเลยทีเดียว หลังจากนั้นก็คงมีตำรวจมาอุ้มตัวนักโทษที่ร้องด้วยความเจ็บปวดกลับเข้าไปในคุก
          “ตรงนั้นดูเหมือนจะเป็นประตูสำหรับเข้าออกสินะ”
          ด้านขวาของเขาห่างออกไปไม่ไกลมาก มีประตูที่ใช้รูปแบบของวัสดุแบบเดียวกันกับที่ใช้ทำรั้วไฟฟ้า ขณะนั้นเองก็มีตำรวจคนหนึ่งต้องการใช้ประตูนั้นพอดิบพอดี ยามเฝ้าประตูซึ่งยืนพิงประตูนั้นด้วยความสบายอารมณ์ก็ถอยออกมาจากประตูแล้วรูดบัตรให้เพื่อเปิดประตู
        -ไม่ใช่รั้วไฟฟ้าหรือ
          แขนของยามที่ยืนเฝ้าประนั้นสัมผัสกับลวดโลหะของประตูโดยตรงแต่ไม่เกิดการช็อต
          “แบบนี้ก็แปลว่า จุดที่อันตรายที่สุดของรั้วนี้ก็คือลวดโลหะที่อยู่ข้างบนของรั้ว”
          เรสมีสีหน้าที่กำลังครุ่นคิด พร้อมกับมองและพิจารณารายละเอียดของกำแพงหนึ่งเดียวที่ปิดกั้นเขาจากโลกภายนอก ทั้งๆที่เขาไม่ได้ต้องการจะไปสู่โลกภายนอกอีกครั้งด้วยการใช้สูตรโกงหรือการทำผิดกฎ
          ระหว่างที่เขากำลังสำรวจลานกลางแจ้งต่อ ก็มีสัมผัสแปลกๆที่ไม่ได้มาจากพื้นดินในระดับเดียวกัน ไม่ได้อยู่ใต้ดิน แต่อยู่ในจุดที่สูงกว่าตัวเขา เขารีบหันควับไปมอง แล้วก็เห็นสิ่งที่คล้ายจะเป็นบุคคลนิรนามในผ้าคลุมสีดำทมิฬ ที่กำลังเพ่งความสนใจมายังเขา ยืนอยู่บนอาคารที่เขาใช้รับประทานอาหารกับอเล็กซ์ก่อนหน้านี้
          สิ่งที่อยู่ในมือของบุคคลนิรนามนั้นเคลื่อนไหว เหมือนเตรียมพร้อมจะจู่โจมมายังเขาในเวลาไม่ช้า
          “ฟรึป!
          เสียงนั้นทำเขาทรุดตัวลงกับพื้นฉบับที่ว่าไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยว่าเกิดอะไรขึ้น
          “โอ๊ย! เจ็บแฮะ”
          ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นบริเวณหน้าผาก เขานำมือไปลูปตรงจุดที่เจ็บพร้อมกับสีหน้าแสดงความเจ็บปวด
          “นายโอเคหรือเปล่า เป็นอะไรหรือ”
        เพื่อนคนเดิมวิ่งเข้ามาหาเขา อเล็กซ์มีทีท่าตื่นตระหนกและสงสัยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้
          “ฉันสบายดี ว่าแต่เมื้อกี้มันอะไรหรือ”
          พูดแล้วเขาก็เหลือบไปเห็นของที่เป็นแท่งไม้เรียวยาวหล่นอยู่บนพื้น ปลายด้านหนึ่งติดขนสัตว์ปีกเอาไว้ด้วยเชือกกับเทปกาว มันน่าจะเป็นลูกศรธนูที่ไม่มีปลายคม นอกจากนั้นแล้วก็มีม้วนกระดาษแผ่นหนึ่งพันรอบศรนี้ด้วย ถ้าจะบอกว่ามีนักธนูจากโลกแฟนตาซีส่งข้อความมาหาโดยใช้ธนูก็คงจะเชื่อได้ยาก
        “กระดาษหรือ?
          อเล็กซ์ถามพร้อมกับมองดูมันด้วยความอยากรู้อยากเห็นเหมือนกับเด็กในวัยเรียน
เขาจึงแกะมันออกมาดูพร้อมกับเพื่อนของเขา กระดาษนี้มีเนื้อกระดาษที่บางเหมือนกับกระดาษทั่วๆไป แต่ถึงแม้จะถูกยิงด้วยธนู ตกพื้นที่เป็นดินและหญ้า มันก็ยังคงดูเหมือนกระดาษคุณภาพที่พึ่งนำออกมาใช้อย่างน่าประหลาด
         ในกระดาษนี้มีเนื้อความว่า
ถึง เรส เราขอให้ออกมาจากคุกนี้ แล้วทำภารกิจที่เราต้องการให้ช่วย ถ้าหากคุณไม่ทำแล้วล่ะก็ โลกใบนี้ก็คงจะไม่มีรถยนต์ให้เห็นอีกเป็นแน่ จาก ฝาแฝดฮาร์ฟเอ็น
          -ฮาร์ฟเอ็น
          “เป็นชื่อที่แปลกจังนะคะ”
        อเล็กซ์ติดใจกับคำว่าฮาร์ฟเอ็น มันน่าจะแปลว่า จุดจบครึ่งเดียว หรือไม่ก็ การจบไปเพียงครึ่งเดียวแต่เดี๋ยวก่อน มีอะไรแปลกๆนอกจากชื่อนี้อีกหรือเปล่า
          “อเล็กซ์ เมื้อกี้นายพูดว่าอะไรนะ!
          เรสถึงกับตกใจ แล้วหันไปมองหน้าอเล็กซ์ เมื่อเขานึกได้ว่าไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้ มีผู้ชายคนหนึ่งพูดออกมาโดยใช้หางเสียงแบบที่ผู้หญิงใช้ ผู้ที่ถูกจ้องมองด้วยสายตาจริงจังจนหน้ากลัวก็ถึงกับถอยหลังออกทันที
          “ก็บอกว่า ชื่อนั้นมันแปลกๆ ไม่ได้ทำอย่างอื่น”
          อเล็กซ์ตอบกลับไปด้วยความกล้าๆกลัวๆ เกรงว่าตนเองจะเพลอทำอะไรให้เขาโกรธขึ้นมา เรสเห็นและได้ยินแบบนั้นก็ใจเย็นลง แล้วค่อยๆลุกขึ้นยืนพร้อมกับหยิบกระดาษแผ่นนั้นเอาไว้ในมือ
          “นักโทษทุกคนมายืนต่อแถวหน้าประตูโรงอาหารเดี๋ยวนี้ เราตรวจพบว่ามีคนนอกแอบเข้ามา เราจึงต้องขอค้นตัวนักโทษทุกคนเดี๋ยวนี้”
          เสียงดังออกมาจากโทรโข่งที่ติดอยู่ตามป้อมตำรวจ เป็นประกาศที่น่าจะมีสาเหตุมาจากบุคคลนิรนามนั้นไม่ผิดแน่ เขามองไปยังกระดาษแผ่นนั้น แล้วคิดว่าตอนนี้เขาควรจะเก็บมันเอาไว้ไหม หรือว่าจะทิ้งไปซะตอนนี้ดีกว่า ถ้าถูกจับขังเดี่ยวล่ะจะทำยังไง
          ตอนนี้นักโทษแต่ล่ะคนค่อยๆเดินไปที่ประตูโรงอาหาร ผ่านตำรวจสองคนที่อยู่ซ้ายขวาซึ่งตรวจค้นตัวของนักโทษ แล้วจากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในโรงอาหารเป็นอันว่าถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว ส่วนเขาทั้งสองคนก็ยังยืนดูนักโทษคนอื่นๆถูกค้นตัวเพื่อถ่วงเวลาไว้ แล้วคิดว่าควรจะทำยังไงกับจดหมายลึกลับนี้
          “เดี๋ยวฉันจัดการเอง นายไปก่อนเถอะ”
          น้ำเสียงที่มีความมั่นใจมาจากคนที่ยืนอยู่ข้างเขา อเล็กซ์หยิบกระดาษที่อยู่ในมือของเขาแบบไม่ถามความรู้สึกของคนที่ถือมันอยู่เลยสักคำ ทำให้เรสได้แต่มองดูแบบงงๆ หลังจากนั้นอเล็กซ์ก็วางกระดาษไว้บนฝ่ามือที่แบออก แล้วก็ขยำมัน จากนั้นก็-
          “งั่ม!
        “อ่ะ? เฮ้ย! เดี๋ยวก่อนสิ”
          อเล็กซ์กินกระดาษแผ่นนั้นเข้าไป หนำซ้ำยังหันสายตามามองเขาด้วยสีหน้าประมาณว่าแปลกตรงไหนหรือ เขาเองก็เลยต้องเดินไปให้ตำรวจค้นตัวตามแผนที่วางไว้ แล้วได้แต่เป็นห่วงกระดาษที่ตนอาจจะได้ใช้อยู่ในใจ
ผ่านไปแล้ว 10 หน้า
          ผ่านช่วงเวลาที่โกลาหลมาได้สักพัก เขานั่งอยู่บนเตียงภายในห้องขังเดิม แล้วก็ครุ่นคิดถึงเรื่องจดหมายนั้น
          ประโยคสุดท้ายของจดหมายพูดเกี่ยวกับรถยนต์ ซึ่งเป็นเรื่องที่จะหาฟังหรือพูดคุยกันไม่บ่อยนักภายในคุก นอกจากจะมีคนชอบรถอยู่ด้วย แต่ที่ทำให้ตกใจก็อยู่ตรงที่ว่า
          คงจะไม่มีรถยนต์ให้เห็นอีก
          ไม่มีในที่นี้คือหายไปเลยหรือว่ามีอยู่แต่ใช้ทำอะไรไม่ได้เหมือนกับไม่มีอยู่ การจะทำให้เกิดเรื่องแบบที่ว่ารถยนต์หายไปทีละนิดก็คงยากเกินความสามารถของมนุษย์ธรรมดาๆจะทำได้แล้ว ดังนั้นการจะดับเครื่องรถยนต์ทั้งหมดในโลกภายในคราวเดียวคงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
          ในจดหมายมีการขอร้องให้ช่วยอยู่ คนที่เขียนน่าจะไม่ใช่ผู้ร้าย แต่ถ้าเชื่อมกับประโยคสุดท้ายแล้วล่ะก็ หากดูเผินๆจะคล้ายกับคำขู่ แต่ถ้าคิดดีๆแล้ว-
          “หากไม่ช่วยจะเกิดเรื่องแบบนั้นจริงหรือ รถยนต์ หายไป งั้นหรือ”
          คนที่ส่งจดหมายมีความสามารถในการยิงธนูอยู่ในระดับที่สูงมาก ไม่ยิงโดนตาหรือส่วนสำคัญอื่นๆบนใบหน้า โดยใช้ศรที่ไม่มีปลายแหลม ซึ่งน้ำหนักต้องเปลี่ยนไปอยู่แล้ว
          “คงไม่มีใครเอาเวลาไปฝึกยิงธนูมากขนาดนั้นหรอก นอกจากจะต้องใช้มันจริงๆ”
          ก็จริงอยู่ที่ว่าเวทมนตร์ไม่มีอยู่จริง แต่คนที่ขอความช่วยเหลือจากเขาเป็นใครก็ไม่รู้ มีความลับอีกมากมายที่เขายังไม่รู้ ทำให้ตัดสินใจแบบส่งเดทไม่ได้อย่างเด็ดขาด ทางเดียวที่จะไขปริศนานี้ได้ก็คือ
          “ต้องไปตามคำขอสินะ ช่วยไม่ได้ แต่ไม่มีรถแล้วจะไปได้หรือ”
          เขาหยิบจดหมายนั้นขึ้นมาดูอีกครั้ง ซึ่งอเล็กซ์ได้คืนให้ก่อนจะถูกพวกตำรวจต้อนให้กลับเข้าห้องขังเหมือนเขาและคนอื่นๆ เขาตั้งใจจะดูอีกรอบเผื่อจะมีจุดนัดพบหรือคำใบ้อื่นๆซ่อนอยู่อีก ถึงอย่างนั้นจดหมายนี้ก็ยังคงเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำลายอยู่ดี
          “นี่ฉันจับมันมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย!
  เขาสะบัดมือออกด้วยความขยะแขยง ความแรงในการสะบัดมือทำให้จดหมายลอยไปติดอยู่ที่อยู่ที่กำแพง และด้วยความชื้นจากน้ำลายทำให้มันยังคงติดเป็นโปสเตอร์อยู่แบบนั้นไม่ล่วงหล่นหรือขยับไปไหน ด้านที่ติดกับกำแพงคือด้านของข้อความ แต่มันก็ยังปรากฏอะไรบางอย่างให้เห็น ซึ่งไม่ใช่ข้อความที่เขาอ่านไปแล้ว
          -ส่วนที่ซ่อนอยู่
          ไม่ผิดแน่ ข้อความนั้นต่างจากเรื่องที่เขาอ่านตรงลานออกกำลังกายในช่วงเช้ากับอเล็กซ์อย่างสิ้นเชิง มันเป็นข้อความที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง เขาลุกขึ้นจากเตียงที่นั่งอยู่แล้วเดินไปยังจดหมายนั้นเพื่อหวังจะอ่านความลับที่หาเจอด้วยน้ำลายของเพื่อน
          อุ๊ฟ! เกือบลืมแหนะ ถ้าออกจากคุกมาได้แล้วเจอกันที่ปั้มน้ำมันนะ เดินไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ตามถนนเดียวก็ถึง
          ข้อความนี้ดูเหมือนจะบอกจุดนัดพบซึ่งไม่ได้บอกไว้ในหน้าแรก เพราะถ้าเขาออกจากคุกมาได้แต่ไม่รู้จะไปไหนต่อ ก็คงได้แต่มีจดหมายนี้ไว้อ่านเล่นเฉยๆ
          “จะให้เดินไปงั้นหรือ ฉันเป็นซิ่งนะ แต่ก็เอาเถอะ ฉันยังอยากขับรถยนต์อยู่ถึงได้ลงทุนทำมากขนาดนี้ อย่าอำกันเล่นด้วยล่ะนักธนู”
          เขาคิดชื่อเล่นให้กับบุคคลนิรนามนั้น เผื่อว่าจะคุยเรื่องนี้กับอเล็กซ์ คิดอย่างนั้นแล้วเขาก็เลยวางแผนว่าจะหาทางหนีออกจากคุกนี้ไปพร้อมกับเพื่อนคนนี้ด้วยเลย แต่ก่อนหน้านั้นต้องรอเวลาพักรับประทานอาหารกลางวันเสียก่อน
          และแล้วการประชุมเล็กๆก็เกิดขึ้น
          “นายไม่คิดว่าเป็นการแกล้งกันเล่นๆหรอกหรือ”
          “ไม่หรอก ทั้งการยิงธนู การรู้จักฉันทั้งที่ตัวฉันเองไม่เคยเจอนักธนูนั่นมาก่อน แล้วอีกอย่าง ใครจะมาแกล้งคนที่อยู่ในคุกสุดแน่นหนาแบบนี้กันล่ะ”
          เรสและมิตรคนเดิมคุยกันอยู่ทีมุมของโรงอาหาร ในขณะที่นักโทษคนอื่นๆก็พักผ่อนหย่อนใจตามสไตส์เดิม เรสนั่งหลังพิงฝาในท่าทีครุ่นคิดอย่างหนัก แต่อเล็กซ์กลับยืนหลังพิงฝาโดยที่ไม่เมื่อยล้าเลย
          “แล้วนายจะออกไปยังไงล่ะ”
          “ทางที่น่าจะปลอดภัยที่สุดคือทางระบายน้ำใต้ดิน ซึ่งต้องผ่านไปด้านหลังห้องครัวเสียก่อน”
          “แต่ไม่มีการรับนักโทษเป็นเชฟนะ ตัวเลือกนี้คงจะยากเกินไป”
          เขาเองเคยคิดว่าในคุกอาจมีการให้นักโทษทำงานในครัว เพราะบางคุกก็มีนักโทษทำงานขุดเหมือง แต่พอได้ยินแบบนั้นแล้วแผนก็เปลี่ยนไปตามสภาพ
          “งั้นก็ เป็นภารโรงแล้วเข้าไปทำความสะอาดในครัวก็ได้ไม่ใช่หรือ”
          “นายคิดแต่จะเข้าครัวอย่างเดียวเลยหรือเนี่ย แต่มันก็ใช้ได้จริงๆล่ะนะ”
          อเล็กซ์เห็นด้วยกับการหาทางเลือกเพิ่มของเขา เพียงแต่การที่จู่ๆมีนักโทษสองคนมาสมัครงานพร้อมกัน หนำซ้ำยังเป็นเพื่อนกันอีกก็ดูมีพิรุธเกินไป ถ้าจะใช้ข้ออ้างประมาณว่าเห็นเพื่อนทำดีแล้วอยากกลับใจตามด้วยก็อาจได้ผล เพราะว่าอเล็กซ์เป็นนักโทษที่ทำแต่ประโยชน์ในสายตาของตำรวจ
          เรสลุกขึ้นยืนและหันมามองเพื่อนด้วยสีหน้าจริงจัง เหมือนกับว่าพร้อมลุยภารกิจแล้ว อเล็กซ์ก็เลยดีดตัวออกจากำแพงที่ยืนอยู่ แต่เหมือนกับมีอะไรที่อยากจะพูดตัดหน้าเรส
          “ไปกันเลยไหม ฉันว่าเราไม่ควรจะรีรอให้เวลาผ่านไปแล้วนะ”
          “นักซิ่งนี่ใจร้อนจริงๆเลยน้า แต่ว่า ฉันขออยู่เหมือนเดิมนี่ล่ะ”
          คำพูดของอเล็กซ์นั้นทำเรสน้อยใจเล็กน้อย เขาเองเข้าใจว่าอเล็กซ์ก็เป็นคนดีเหมือนกับเขาที่เป็นเด็กตั้งใจเรียน แต่ถ้าเป็นคนดีในคุกแล้วปล่อยให้รถยนต์หายไปจากโลกก็คงไม่คุ้มค่ากัน
          เขาจับมือของอเล็กซ์ขึ้นมาโดยหวังจะทำให้เข้าใจตรงกันให้ได้ ทว่าอเล็กซ์มีสีหน้าตกใจแต่ก็ไม่ได้สบัดมือออกแต่อย่างใด
          “ฉันเองถ้าติดคุกนานขึ้นซักหน่อยแต่ได้ช่วยโลกเอาไว้ ฉันก็จะทำมันโดยไม่ลังเลเลย ถึงแม้หากมันจะเป็นแค่คำโกหกก็ตาม แต่ก็ดีกว่าการเห็นคนไข้ที่ตนเองไม่ได้เลือกช่วยไว้เหลือล้มตายละกัน”
          เรสพูดโน้มน้าวแบบสุดขีดประมาณว่าเป็นนักแต่งกวี ด้วยสีหน้าและท่าทางจริงจังแบบสุดๆที่ส่งให้สายตาของอเล็กซ์ ทำเอาสายตาคู่นั้นหันหนีแบบที่ทนไม่ได้ แล้วเจ้าของสายตาคู่นั้นก็สะบัดมือออกมาอยู่ในท่ากอดอกแบบโมโหแทน
         “ก็ได้ๆ แต่ว่าฉันจะไปอีกทางหนึ่ง เพราะไม่อยากให้มีพิรุธ และอีกอย่าง อย่ามาโดนตัวฉันอีกนะ เข้าใจไหม”
         อเล็กซ์ต้องยอมรับตามคำเรียกร้อง เนื่องจากโดนโจมตีไปแบบติดคริติคอลอย่างรุนแรง แต่ก็ยังไม่คลายความหงุดหงิดลงมากเท่าไหร่ เรสก็แอบทำท่าดีใจเล็กๆเพราะภูมิใจในสกิลการพูดของตน
          “โอเค ถ้างั้นจากนี้ก็ต้องไปหาตำรวจ แล้วก็เล่นตามบทสินะ”
          หลังพูดออกไปก็มีตำรวจเดินเข้ามาหาเหมือนกับนัดกันเอาไว้ ตำรวจคนนั้นมองพวกเขาทั้งสองด้วยทีท่าสบายๆไม่ดุเหมือนกับอาจารย์บางคนที่เรสเคยเจอมาในตอนเรียนหนังสือ
          “พวกเธอไม่ทานอาหารกันหรือ เห็นคุยกันอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว”
  ตำรวจคนนี้ดูเหมือนจะเป็นมิตร ไม่มีทีท่าเข้มงวดเลยแม้แต่น้อย ซึ่งต่างจากตำรวจทั่วๆไปอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่ทั้งคู่ได้ยินเองก็ถูก ตอนนี้นักโทษเริ่มออกไปข้างนอกกันแล้ว แต่พวกเขากลับเอาแต่วางแผนกันจนไม่ได้รับประทานมื้อกลางวัน
          “ผมแค่คิดว่าจะหางานทำแก้เบื่ออย่างเช่นถูพื้นนะครับ”
          เรสพยายามจะบอกตำแหน่งหน้าที่ๆต้องการแบบอ้อมๆ เพื่อใช้มันเข้าครัวแล้วเปิดประตูไปทางระบายน้ำให้ได้ ตำรวจจึงทำท่าครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย แล้วก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก พวกเขาก็เลยตั้งหน้าตั้งตารอฟังสิ่งนั้น
          “ช่วงนี้ในครัวสกปรกอยู่พอดีเลย ถ้าอยากทำจริงๆละก็ ไปหยิบไม้ถูพื้นและถังน้ำจากตรงนั้นมาใช้ได้เลยนะ ไม่ต้องขออนุญาตพี่ตำรวจหรอก”
          จากประโยคนี้แสดงให้เห็นว่าในคุกแห่งนี้ขาดแคลนงบประมาณในการจ้างพนักงานรักษาความสะอาด จึงต้องให้นักโทษจิตใจดีอย่างเขาทำหน้าที่แทน ซึ่งก็คงไม่หวังเงินตอบแทนอยู่แล้ว เพราะในคุกคงไม่มีนักโทษคนไหนพกเงินติดตัวกันหรอก
ผ่านไปแล้ว 15 หน้า
          ตำรวจเดินออกไปยังสนามทำหน้าที่รักษาความเรียบร้อยต่อไป ตอนนี้เรสมุ่งสมาธิไปที่ไม้ถูพื้น แต่เขาควรจะถามทางที่อเล็กซ์ใช้หนีเสียก่อน เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน
          “ว่าแต่นายจะหนีไปทางไหนหรืออเล็กซ์”
          อเล็กซ์ทำท่าทีครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบออกมา
          “ฉันคิดว่าตำรวจคนนั้นลืมอะไรบางอย่างไปนะ แบบนี้จะออกจากสนามเพื่อกลับบ้านได้ไหมล่ะเนี่ย”
          เพื่อนของเขาหยิบบัตรคีย์การ์ดของตำรวจออกมาพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย ทำให้เรสอึ้งไปพักหนึ่ง
          ตอนนี้มีตัวเลือกที่ใช้หนีออกจากคุกนี้มากขึ้น แต่ตัวเลือกของอเล็กซ์ดูเหมือนจะมีความเสี่ยงมากเกินไป การจะหนีออกไปในช่วงเช้าเหมือนกันกับตัวเขาคงยากเกินไปควรจะหนีออกจากห้องขังในช่วงกลางคืน  แต่คิดยังไงก็เหมือนจะไม่มีทางออกจากกรงเหล็กหนาแบบนั้นไปไปได้เลยแม้แต่นิดเดียว
          “แน่ใจหรือ ฉันว่ามันยากเกินไปนะ”
          “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ยังไงตอนนี้นายก็เอาจุดนัดพบในกระดาษมาให้ฉันดูก่อนดีกว่า”
          “โอ้! ลืมไปซะสนิทเลย เอ้านี่ กระดาษจดหมายนะ”
  เรสหยิบกระดาษจดหมายนั้นออกมาโดยมีความระแวงคนรอบข้างเล็กน้อย ถ้าเข้าหยิบออกมาอ่านคนเดียวก็ไม่แปลก เนื่องจากคนอื่นอาจเห็นว่าเป็นการอ่านบันทึกส่วนตัวธรรมดาๆ ซึ่งคงไม่มีคนเสียมารยาทแบบที่ว่าแอบส่องดู
          แต่ว่านี่เป็นการส่งต่อสิ่งของ ตำรวจอาจคิดว่าเป็นการวางแผนแหกคุก และถ้าตำรวจอ่านข้อความในจดหมายได้ล่ะก็ เขาคงถูกเรียกถามว่าคนในจดหมายคือใคร แล้วเขาก็คงตอบไม่ได้แม้จะโดนปืนจ่อก็ตาม
          “อยู่ไม่ไกลมากนี่หน่า แต่ว่าต้องหนีอย่างแนบเนียนอยู่ดีนั้นแหละนะ”
          “แล้วนายรู้ได้ไงว่าอยู่ไม่ไกล”
          จริงของเรส อเล็กซ์จะรู้ได้อย่างไรว่าปั้มน้ำมันอยู่ห่างแค่ไหนจากตัวคุก
          “ก็ตอนที่ฉันนั่งรถตำรวจมายังคุกนี้ ฉันเห็นอยู่ผ่านๆน่ะ”
          ตอนที่เรสถูกจับกุมตัวมายังคุกแห่งนี้ เขานั่งอยู่ในรถตำรวจสีดำขนาดใหญ่ มีคนที่ไม่รู้ว่าเป็นตำรวจหรือทหารถือปืนยาวประจำกายเอาไว้อยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้เขาหลบหนี
          -ก็แค่โจรธรรมดาเอง
          การป้องกันการหลบหนีไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย เขาเป็นแค่วัยรุ่น ยังไม่เคยปิดชีพใครมาก่อน แต่กลับมีการตั้งขบวนต้อนรับด้วยตำรวจเต็มกำลัง
          “เอาล่ะ ถ้าอย่างงั้นไปเจอกันที่นั่นก็แล้วกัน”
          อเล็กซ์พยักหน้าตอบ เรสเองก็มีกำลังใจพร้อมทำภารกิจนี้เต็มที่ การหลบหนีออกจากคุกเพื่อกอบกู้รถยนต์จึงเริ่มขึ้น ด้วยกำลังพลแค่สองคน กับบุคคลลึกลับที่มีนามว่า ฝาแฝดฮาร์ฟเอ็น
          เรสเดินไปหยิบไม้ถูพื้น ทำความสะอาดภายในห้องรับประทานอาหารก่อนอย่างใจเย็น แล้วค่อยเดินไปทำความสะอาดในห้องครัวต่อ เพื่อเป็นการอ้อมเพิ่มความแนบเนียนเข้าไปอีกขั้น
          ตอนนี้เขาอยู่ในห้องครัวแล้ว มีพ่อครัวกำลังล้างจานอยู่ โดยทำเป็นไม่สนใจเขาแต่เหมือนจะรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ จึงไม่จำเป็นต้องลนลานมากเกินไป แค่ตั้งสติอย่างใจเย็นไว้ก็พอ- พยายามอย่าหันหน้าไปหาประตูทางระบายน้ำใต้ดิน
          “นี่เธอนะ คงไม่ได้คิดจะหนีออกจากคุกใช่ไหม?
          ประโยคนั้นทำเขาเสียวสันหลังไปแวบนึง ความรู้สึกว่าถูกจับได้เริ่มเข้ามาถาถม แต่ก็ทำได้แค่ถูพื้นต่อไปก่อน แล้วคิดวิธีตอบโต้ไปพลางๆ
“นี่เธอนะ! ไม่ตอบฉันหรือ?
          “ผมนะไม่เหมือนคนอื่นหรอกครับ ถึงหนีไปก็คงได้แต่หนีไปอีกเรื่อยๆ หาอะไรสนุกๆในคุกเล่นรอเวลาที่จะเป็นอิสระไม่ดีกว่าหรือคร้าบ”
          เขาตอบอย่างใจเย็นด้วยสีหน้าเป็นกันเองและรอยยิ้มที่นานๆ จะหลุดออกมาครั้งหนึ่ง- ด้วยประโยคปรัชญาที่เขาแต่งออกมาแบบฉิวเฉียด และยังเป็นเรื่องที่คิดได้หลากหลายความหมาย จึงทำให้พ่อครัวถึงกับเงียบไปพักหนึ่ง
          ตอนนี้เขาคิดว่าจะวิ่งพลักประตูออกไป แต่พอฟังเสียงของน้ำที่กำลังไหลรินในอ่างล้างจานอยู่นั้น ก็เลยรู้ว่ามีของที่ช่วยกลบเสียงแล้ว ถึงจะเปิดประตูออกไปดัง”เอี๊ยด”ก็คงยากจะได้ยิน ยิ่งพ่อครัวนั่นอายุดูมากแล้วอีกด้วย จึงมีโอกาสที่จะสำเร็จสูงมากๆ
         เขาวางไม้ถูพื้นที่ตนเองใช้งานอยู่กับผนังห้องอย่างเบาๆ แล้วเดินไปยังประตูข้างหน้านั้น เขาเปิดมันออกให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อไม่ให้เกิดเสียง แล้วประตูเองก็เหมือนจะเชื่อฟังซะด้วย เขาเองก็ไม่ลืมที่จะปิดมัน แล้วรีบใช้โอกาสนี้ก้าวเท้าไปตามขั้นบันไดในทางเดินที่มืดมิด
          “นี่เธอจะทำอะไรน่ะ ไม่ใช่บ้านของตนเองที่จะเดินไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบนะ”
          ตำรวจคู่หนึ่งยืนอยู่ในที่กลางแจ้งใกล้กับประตูกรงเหล็ก โดยมีคู่สนทนาเป็นอเล็กซ์ นั่นน่าจะหมายความว่าอเล็กซ์ใช้แผนหลบหนีที่ไม่แนบเนียนต่างจากเรสแบบสุดขั่ว ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่กระวนกระวายเลย ยังทำตัวตามสบายเหมือนอยู่ในสถานการณ์ปกติ
          ถ้าจะสู้กับตำรวจด้วยมือเปล่าล่ะก็ คงจะทั้งเสียเปรียบและโดนรุมเป็นอย่างแน่นอน แล้วถึงจะแย่งอาวุธมาได้ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะเพิ่มโอกาสรอด
          -แต่ทำไมอเล็กซ์ถึงไม่ใช้คีย์การ์ดที่มีอยู่ล่ะ
          “นี่ฉันเอง ฉันขอยกเลิกการปลอมตัวเพียงเท่านี้”
          ด้วยประโยคสั้นๆ ก็ทำให้ความน่ากลัวของตำรวจพวกนี้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งคู่เปิดประตูกรงเหล็กให้เหมือนตัวเขาเป็นพนักงานทั่วไป แต่ประโยคนั้นใครๆ ได้ยินต่างก็อดคิดไม่ได้ อเล็กซ์ปลอมตัวอยู่หรือ งั้นก็หมายความว่าคนที่เรสคุยมาโดยตลอดนั้นไม่ใช่นักโทษในคุกเหมือนกับคนอื่นๆ
          ถ้าจะบอกว่าเป็นนักธนูคนนั้นก็คงไม่ใช่ เพราะตอนนั้นอเล็กซ์ยืนอยู่ในจุดเกิดเหตุกับเรสด้วย และอีกจุดหนึ่งที่เกือบจะทำให้การปลอมตัวเป็นอเล็กซ์นั้นล้มเหลว ก็คือคำลงท้ายประโยคที่ว่า”ค่ะ” นั้นบ่งชี้ว่าคนที่ปลอมตัวเป็นอเล็กซ์เป็นผู้หญิง ซึ่งเป็นการปลอมตัวเป็นผู้ชาย แต่แค่คิดถึงวิธีการก็ยากแล้ว คนๆ นี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
          “ห้องเปลี่ยนชุดอยู่ตรงไหนหรือ”
          “เดินตรงไปด้านขวาติดกับห้องเยี่ยมนักโทษครับ”
          นักโทษคนอื่นๆ ต่างก็มองอเล็กซ์ด้วยความสงสัย ว่าเช่นใดถึงออกไปได้อย่างหน้าตาเฉยในขณะที่ใส่ชุดสีส้มประจำตัวนักโทษอยู่
          ทางฝั่งของเรสเองตอนนี้ก็วิ่งไปตามทางระบายน้ำที่มีความสว่างจากหลอดไฟเล็กๆ เพียงแค่สลัวๆ เท่านั้น พร้อมกับน้ำที่ไม่สกปรกมากเท่าไหร่กำลังไหลไปตามทางคอยกั้นระหว่างฝั่งที่เขาวิ่งกับฝั่งที่ว่างเปล่า
          ขณะนั้นเสียงของน้ำที่หยดจากเพดานลงมากระทบกับพื้นหินก็ไม่ได้สร้างความกลัวให้กับเขาแต่อย่างใด เพราะตอนนี้เขาติดแค่จะหนี แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ลืมจุดประสงค์ในการหนี เพราะเขาก็ไม่คิดจะหนีตั้งแต่แรกอยู่แล้วหากไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
          “เอาล่ะ ตรงนี้คือทางออกสินะ”
          เรสหยุดวิ่งกะทันหันแล้วมองบนไปยังฝาท่อระบายน้ำ โดยมีสิ่งที่เชื่อมมันกับทางระบายน้ำนี้เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือบันไดลิงที่ทำมาจากโลหะ มันขึ้นสนิมเขลอะเนื่องจากโดนน้ำฝนหรือของเหลวอื่นๆ ที่ไหลมาจากเบื้องบน
          เขาไม่ลังเลกับสนิมเหล่านั้น แล้วรีบรุดปีนบันไดขึ้นไปจนหัวเกือบจะชนกับฝาท่อระบายน้ำ จากนั้นเขาก็ใช้แรงทั้งหมดที่มีเลื่อนมันออกไปมากพอสมควรที่จะออกมาได้
          “รถงั้นหรือ? มาได้ไงเนี่ย! แต่ก็คงไม่แปลกหรอกเนอะ เพราะฉันเป็นนักซิ่งนี่หน่า”
          เขาพูดติดตลกทั้งๆ ที่ยังหนีไม่พ้นจากบริเวณของคุก คงเป็นเพราะว่าเขาสบายใจที่ได้ออกมาสูดอากาศภายนอกในที่สุด ถึงอย่างนั้นเขาก็ประมาทไม่ได้อยู่ดี ตราบใดที่ยังไม่พ้นสายตาของเหล่าตำรวจผู้ตรวจการ
ผ่านไปแล้ว 20 หน้า
          เรสวิ่งไปยังรถปริศนาที่โพล่มาจากไหนก็ไม่รู้ มันไม่ใช่รถตำรวจอีกทั้งยังดูมีราคาอีกด้วย ประตูของรถก็ถูกเปิดไว้เหมือนรอให้โจรอย่างเขามาปล้นแบบฟรีๆ รถคันนี้เป็นแบบสองที่นั่ง เขาเข้าไปนั่งยังที่นั่งคนขับ แล้วเหลือบไปเห็นกระดาษวางอยู่บนที่นั่งอีกฝั่ง
          “ไม่เอาน่า มันเริ่มจะแปลกเกินไปแล้วน้า”
          ในกระดาษแผ่นนั้นนั้นเขียนตัวเลขเอาไว้ว่า03119เขาเห็นแบบนั้นก็เลยแตะที่จอแสดงผลในรถยนต์ จากนั้นมันก็ขึ้นแถบตัวเลขเหมือนกับให้เข้ารหัส เขาจึงรู้ได้ทันทีว่าตัวเลขในกระดาษแผ่นนี้คือรหัสผ่าน เขาจึงใส่รหัสลงไปตามนั้น
        เสียงของเครื่องยนต์ดังขึ้นเป็นการสตาร์ทรถ ความตื่นเต้นที่จะได้ซิ่งรถของเขากลับมาอีกครั้ง และด้วยบรรยากาศที่รถบนท้องถนนมีน้อยบวกกับเป็นภูมิประเทศที่ไม่ใช่ในญี่ปุ่น แต่เป็นแนวธรรมชาติที่มีต้นไม้กับภูเขาเตี่ยๆ ข้างทาง เขาจึงเบิร์นเครื่องพร้อมที่จะลุยกับสภาพโค้งแบบใหม่นี้
         “ถนนเป็นแบบมีสองเลนโค้งเล็กน้อยสินะ เอาล่ะ ลุยกันเลย!
          เขาเหยียบคันเร่งจนมิด ล้อหลังของรถหมุนด้วยความเร็วที่สูงมากขนาดที่ว่าสายตาปกติมองจำนวนแฉกมันเสียดสีกับพื้นถนนจนมีควันออกมาเล็กน้อย บดบังสีแดงของตัวรถส่วนท้าย เสียงเครื่องยนต์ดัง และรถก็พุ่งตรงไปข้างหน้าบนถนน
          หญ้าและเศษใบไม้ที่อยู่ข้างทางปลิวไปตามแรงลมที่เกิดจากความเร็วของรถสีส้มคันนี้ เมื่อข้างหน้าเป็นทางโค้งซ้ายในระดับนึง เขาจึงดึงเบรคมือให้ล้อหลังหยุดชะงัก พร้อมกับหักพวงมาลัยไปตามเส้นทางโค้ง จนรถตวัดเกือบจะออกจากเส้นทาง แต่เขาก็หักเลี้ยวไปทางขวาตรงข้ามกับตัวโค้ง แล้วล้อหลังก็หมุนอีกครั้งแต่เริ่มไม่ยึดกับถนน โดยที่ตัวรถยังคงไปตามถนนอย่างงดงาม
          "ดริฟ" เทคนิคการซิ่งรถที่ใช้ได้ในการเข้าโค้งทุกรูปแบบด้วยความเร็วสูง ตัวรถอาจจะเอียงจนเหมือนว่ามันกำลังจะพุ่งออกข้างทางเข้าไปส่วนในของโค้ง แต่ว่าล้อหน้ายังตรงกับเส้นถนน และพวกกับแรงที่ใช้ก่อนเข้าโค้งจึงทำให้มันเคลื่อนไปคนละทิศทางกับแรงขับของล้อหลัง หรือก็คือไปตามเส้นที่คนขับคำนวณไว้แล้ว
          "ต้องฝึกนานเลยนะเนี่ยกว่าจะทำเรื่องเสี่ยงหลุดโค้งแบบนี้ได้"
          เรสหมุนล้อให้ไปทางขวาเยอะกว่าเดิม จนทำให้ตัวรถที่กำลังดริฟไปตามโค้งสบัดกลับมาอยู่ในสภาพปกติ แล้วเข้าทางตรงต่อไป มองไปข้างหน้าไม่กี่ร้อยเมตร ในสายตาของเขาเห็นรางรถไฟที่ตัดกับถนน ด้านขวารางตรงเข้าไปในอุโมง ส่วนด้านซ้ายก็-
          "จะเอากันแบบนี้แต่เริ่มเลยหรือ นี่มันหนักกว่าตำรวจอีกนะ!"
          เสียงของโลหะที่หมุนขับเคลื่อนไปบนโลหะเส้นยาว วัตถุทรงปริซึมสี่เปลี่ยมหลายชิ้นติดกันโดยมีหัวหน้าเป็นคนลากมันอยู่ สิ่งนั้นคือ"รถไฟ"

          ในใจของเขาอยากจะให้มันวิ่งผ่านถนนออกไปแล้ว แต่ขบวนหน้าสุดก็กำลังหันหน้ามาทางถนน ทำให้ความหวังแตกสลายไปในทันทีทันใด หากจะหยุดรถตอนนี้ก็คงสายไปเสียแล้วด้วย
          -ไม่ว่าจะยากแค่ไหน จงมีความมั่นใจและก้าวผ่านไปให้ได้
          เขาหลับตาลงนึกคิด ความรู้สึกที่เหมือนอยู่ระหว่างความเป็นความตาย ต่อให้หาเส้นทางอื่นก็คงจะเปล่าประโยชน์ มีแต่ต้องสู้ไปให้ถึงที่สุดแต่เพียงเท่านั้น
          “ฉันน่ะนะ คือนักซิ่งรถ!
          เขาลืมตาขึ้นมองตรงไปยังรางรถไฟอีกครั้ง และเหยียบคันเร่งด้วยอารมณ์ระห่ำถึงขีดสุด รถสีแดงวิ่งเร็วขึ้นไปอีก มุ่งหน้าไปยังรอยตัดระหว่างรถรางกับรถซิ่ง
          ขณะนั้น รถของเขาก็ลอยขึ้นจากพื้นดินเล็กน้อย ด้านข้างเป็นรถไฟส่องแสงสีเหลืองเข้ามา ที่เฉียดกับตัวรถเพียงไม่เท่าไหร่
          รถของเขาวิ่งหลุดออกจากรอยตัดนั่น รถไฟยังคงวิ่งต่อไปเหมือนปกติ แรงกระแทกที่เกิดจากรถอันกลับมาแตะพื้นทำให้ตัวคนขับรู้สึกสะเทือนนิดหน่อย กันชนหน้าขูดกับพื้นเกิดเป็นสะเก็ดไฟและเสียงดังอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
          “ฉันทำไปได้ยังไงล่ะเนี่ย?
          เขาถามติดตลกกับตนเอง คงจะใช้แทนการอุทานหลังเจอเรื่องหวาดเสียว
          เรสหันไปมองร้านสะดวกซื้อข้างทางซึ่งอยู่ไกลออกไปไม่มากนัก มีรถจอดอยู่บ้าง แล้วก็เริ่มมีรถวิ่งสวนกับเขามากขึ้น นั่นน่าจะหมายความว่าเขาเข้าใกล้ตัวเมืองมากขึ้นแล้ว
          “มีตู้เติมน้ำมันอยู่หน้าร้านด้วยแฮะ หรือว่าจะเป็นจุดนัดพบที่บอกไว้กันนะ”
          เรสลดความเร็วรถให้เท่ากับรถคันอื่นๆ ที่ขับสวนกันไปมา ก่อนจะขับเลี้ยวเข้าไปจอดยังลานจอดหน้าร้าน เสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มก็ค่อยๆ ลดเสียงลง
          “เอาล่ะ คงไม่มีตำรวจตามมาสินะ”
          เสียงเครื่องยนต์ดับลง เรสเปิดประตูรถแล้วก้าวเท้าลงมาแตะพื้นยางมะตอยของลานจอดหน้าร้านสะดวกซื้อนั่น ก่อนจะเขยื้อนตัวออกมายืนข้างรถสีแดงที่พึ่งขับมาเมื่อกี้
          “ไหนขอดูหน่อยสิ ว่าป้ายทะเบียนเป็นสีอะไรกันนะ?
          เรสเดินไปบริเวณด้านหลังตัวรถที่หันไปทางตู้เติมน้ำมัน และมองไปยังป้ายทะเบียนที่ติดอยู่
          -ป้ายทะเบียนเป็นสีฟ้ากรอบสีแดง
          “เฮ้อ ค่อยสบายใจขึ้นหน่อยแฮะ นึกว่าจะเป็นทะเบียนขาวซะแล้ว”
          จากที่เรสพูดขึ้น แสดงให้รู้บางอย่างว่า -สีของป้ายทะเบียนมีผลกับการใช้รถคันนั้นๆ ด้วย
          เขายืนมองบรรยากาศรอบๆ ด้วยความรู้สึกที่ได้กลิ่นอันตรายแปลกๆ ซึ่งรถและคนก็แทบจะไม่มีให้เห็นอยู่เลย แถมยังรู้สึกวังเวงไม่เหมือนก่อนที่จะขับมาจอด
          “รู้สึกไม่ดีแบบสุดๆ เลยแฮะ แม้แต่นกสักตัวก็ -อัก”
          ปั้ง! เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด เรสซึ่งกำลังยืนอยู่ ณ ที่นั้นก็แสดงอาการเจ็บออกมา แล้วล้มลงไปนอนคว่ำบนพื้น พร้อมกับสีหน้าที่เหมือนกับกำลังถูกไฟร้อนๆ เผาไหม้
          “อั่ก! แก... เป็น... ใครกัน?
          เรสพยายามเขยิบตัวไปเกาะฝากระโปรงหลังรถ แล้วพยุงตัวเองขึ้นนั่ง หลังพิงกับท้ายรถ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นเพื่อหวังจะมองต้นเสียงของกระสุนที่ทำให้เขาเจ็บนั่น
ทว่าภาพที่เขาเห็นดูมัวหมองเป็นภาพเบลอจนมองไม่ชัด
          “เป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยนะที่ได้ลั่นกระสุนใส่แก เรส พ่อจอมโจรผู้ไม่เคยถูกจับ”
          เสียงนั่นมาจากคนที่ยื่นแขนตรงถือปืนพกเล็งมายังเขา ผู้นั้นใส่เสื้อผ้ามีระดับที่ให้ความรู้สึกว่ามีราคา ผมไม่สั้นไม่ยาวเกินไปแต่บ่งบอกว่าเป็นทรงผมผู้หญิง และน้ำเสียงเหมือนกับเป็นนางเอกในละครยังไงอย่างนั้นเลย
          “อะไรกันเล่า เธอเองก็เคยยิงฉันด้วยกระสุนตั้งหลายพันนัดแล้วนะ แต่น่าเสียดายที่มันพึ่งโดนครั้งนี้เป็นครั้งแรกเองแฮะ”
          เรสพูดแบบยั่วยุแล้วก้มมองจุดที่ถูกยิงพร้อมกับเอามือไปแตะเบาๆ ทำเอาผู้หญิงที่ยืนเอาปืนจ่ออยู่นั้นกำปืนแน่นกว่าเดิมแล้วแสดงอารมณ์งุดงิดออกมา
          “พูดจาไม่ดีเอาซะเลยนะ! อยากถูกยิงอีกนัดหรือไงกัน!
          น่าแปลกเพราะบริเวณท้องของเรสที่ถูกยิงนั้น -ไม่มีรอยเลือดเลย ทำให้ผู้หญิงตรงนั้นทำทีท่าสงสัย แล้วมองเรสอย่างดุดันมากขึ้น เพราะสิ่งที่เห็นอยู่แทบจะเหมือนกับมายากลเสียจริง
          “นี่นายนะ ทำไมถึงไม่มีเลือดออกล่ะ?
          “นั่นสินะ ขอโทษที่โกหกว่าเธอยิงโดนครั้งแรกก็แล้วกัน”
          ผู้หญิงคนนั้นทำท่า “ชิ!” ใส่เขา ก่อนจะขยับนิ้วเพื่อหวังเหนี่ยวไกปืนอีกครั้ง คงเพราะโมโหที่ได้รับคำพูดจาก่อกวนแทนที่จะเป็นคำตอบของปริศนานั่น
          -ฟิ้ว บางอย่างที่มีลักษณะเป็นเส้นตรงสีดำพุ่งตัดปืนของผู้หญิงนั่นจนกระเด็นหลุดออกจากมือไปกองที่พื้น เป็นเสียงที่เหมือนกับดาบปะทะกันอย่างมาก แต่สิ่งที่พุ่งเข้ามานั้นไม่ได้กระดอนออกไปทางอื่น ซ้ำยังปักตระหง่าอยู่บนพื้นยางมะตอยนั่น
          “เอ๋!?” ทั้งสองพูดพร้อมกันและหันไปมองยังจุดเดียวกัน
          ลูกธนูแน่นอนว่าคงจะเป็นฝีมือของคนนั้นเหมือนเคย ต้องเป็นคนที่เขียนจดหมายนัดพบนั่นอย่างแน่นอน แล้วก็ไม่น่าแปลกใจเลยถ้าจะช่วยชีวิตเรสเอาไว้เพราะต้องการจะพบตัวเขา
          “มาช้าไปหรือเปล่าเนี่ยคุณนักธนู ทำหนุ่มคนนี้ใจหายใจคว่ำเลยนะ นึกว่าจะไม่มาช่วยซะแล้วอีก”
          เรสพูดแบบติดตลกโดยไม่กลัวอาวุธเหมือนเดิม พร้อมกับเงยหน้ามองนักธนูที่เป็นเงาเข้มๆ ท่ามกลางแสงตะวันที่สาดส่อง ซึ่งยืนอยู่บนหลังคาของร้านสะดวกซื้อ ส่วนผู้หญิงคนนั้นเองก็หันไปมองจุดเดียวกัน ต่างกับเขาก็แค่หล่อนเกิดอาการเหงื่อตกเล็กน้อย
          “เรส นักซิ่งระดับตำนาน อลิซ สายลับนักซิ่งมากประสบการณ์ ขอโทษที่ต้องให้รอนะคะ”
          เสียงของผู้หญิงเหมือนกัน และยังบ่งบอกให้รู้ว่าคนที่เคยยิงเรสไปเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนมีนามว่า อลิซ ดูเป็นชื่อที่ให้ความรู้สึกเยาวัยมาก
          หล่อนกระโดดลงมาอย่างสง่างามเหมือนกับซ้อมแบบนี้มาร้อยครั้งจนไร้ที่ติ เสียงของรองเท้ากระทบกับพื้นยางมะตอยดังจนได้ยินชัดเจน และหญิงผู้นั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนตรงพร้อมกับมือที่ถือคันธนูด้วยมือซ้ายไว้ข้างๆ กาย
          “ดิฉันมีนามว่าฮายานะ เป็นผู้ที่ถูกส่งมาเพื่อขอให้พวกท่านช่วยทำภารกิจสำคัญน่ะค่ะ ได้โปรดหยุดต่อสู้กันก่อนนะคะ”
          “เอ๋!?” ทั้งสองยังคงแปลกใจกับท่าทีของหล่อน
          ฮายานะ -นักธนูที่เคยปรากฎตัวแบบไม่ธรรมดาให้เห็นอยู่ก่อนหน้า แต่ ณ ตอนนี้ทั้งคู่ได้เห็นหล่อนแบบชัดเจนแล้ว เสื้อฮู้ดสีดำที่คลุมเสื้อตัวในสีฟ้า กางเกงสีขาวบริสุทธิ์ รองเท้าสีดำที่มีขอบลายสีฟ้า บ่งบอกได้เลยว่าเป็นสไตล์ของเด็กยุคใหม่
ผ่านไปแล้ว 25 หน้า
          เรสพยายามดูรูปลักษณ์ภาพนอกของหล่อนให้ละเอียดยิ่งขึ้น ส่วนสูงบ่งบอกว่าอายุประมาณ 14 น่าจะได้ เสื้อแขนยาวกับฮู้ดก็บดบังรูปร่างโดยรวม จึงเห็นอย่างอื่นแค่ธนูรูปทรงแปลกตากับกระบอกใส่ลูกธนูสะพายหลังเท่านั้น
          “แต่มันก็เป็นจุดที่น่าแปลกนะ ทำไมเธอถึงใช้อาวุธพวกนั้นล่ะ?
          “ฉันใช้มันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าจะใช้ปืนก็ผิดธรรมชาติของฉันด้วย อีกอย่างมันมีผลอะไรด้วยงั้นหรือคะ?
          ฮายานะเลื่อนธนูขึ้นมาดู แล้วเลื่อนสายตาไปถามเรสกลับ ทางฝั่งอลิซเองก็...
          “ฉันไม่ไว้ใจเธอง่ายๆ หรอกนะยัยนักธนูสวมฮู้ด ฉนั้นก็กลับไปยังที่ๆ เธอมาเสียเถอะ”
          อลิซมีท่าทีไม่ค่อยไว้ใจนักธนูเท่าไหร่ คงเพราะโดนยิงลูกธนูใส่โดยเฉียดมือไปเพียงเล็กน้อย แต่การที่เธอไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าก็คงจะไม่แปลกในฐานะที่ตัวเธอเองก็เป็นสายลับคนหนึ่ง
          “เดี๋ยวก่อนนะคุณสายลับ อย่าพึ่งรีบสรุปไปสิ ไม่คิดจะฟังข้อมูลอะไรที่มันสำคัญๆ สักหน่อยหรือ?
          เรสหันมาโต้ตอบกับอลิซเพื่อหวังให้เธอใจเย็นลง น้ำเสียงก็ดูจะจริงจังมากกว่าก่อนหน้านี้ด้วย ส่วนฮายานะก็ยังคงยืนเฉยๆ ดูทีท่าของทั้งสองว่าจะเป็นเช่นไรต่อไป
          “จะให้ฟังอะไรอีกเล่า! ก็เห็นอยู่ว่าท่าทางแปลกประหลาดนั่นน่ะ ยังไงก็คงเป็นพวกงมงายเรื่องลี้ลับแหงๆ”
          อลิซพูดเสียงแข็งพร้อมกับเพ่งมองไปยังธนูที่ฮายานะถือเป็นพิเศษ แล้วใช้นิ้วชี้ไปยังมันแบบไม่นิ่งสงบเท่าไหร่นัก ดูเหมือนว่าฮายานะที่เป็นเจ้าของธนูก็จะทำหน้าถอนหายใจเบาๆ เล็กน้อยกับการตอบรับของอลิซ
          “จริงอยู่ที่ฉันอาจจะดูแปลกๆ แต่ว่าฉันเดินทางมาหาพวกเธอก็เพราะมีเหตุผล ฉนั้นได้โปรดฟังคำขอร้องของฉันก่อนเถอะค่ะ”
          ถึงจะเป็นการพูดเชิงขอร้อง แต่น้ำเสียงเป็นแบบจริงจังแทนที่จะดูน่าสงสาร คงเพราะต้องการให้อลิซที่ฟังอยู่นั้นสงบอารมณ์ลงก่อน ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่สามารถที่จะพูดอะไรต่อได้
          อลิซเองที่กำลังดูท่าทางของฮายานะอย่างตั้งใจพร้อมกับใช้ทักษะการจับโกหกดูทีท่าของหล่อนอย่างเคร่งขึม ก็ได้ข้อสรุปออกมา-
          “ไม่มีแววว่าจะโกหกเลยแฮะ เธอคงจะพูดจริงสินะ ถ้างั้นฉันจะช่วยฟังเป็นบุญคุณที่ไม่ยิงธนูฆ่าฉันก็แล้วกัน”
          “ขอบคุณมากนะคะ ถ้าอย่างนั้นจะขอเล่าเหตุผลที่มาขอให้ช่วยเลยละกัน”
          เรสที่กำลังนั่งพิงท้ายรถก็หยิบแผ่นสีดำบางอย่างออกมาจากเสื้อที่ตนเองถกขึ้น มันมีกระสุนที่คาเอาไว้เป็นรอยปุ๋มอยู่ ดูเหมือนว่าจะโชคดีมากที่มันช่วยชีวิตเขาเอาไว้ เมื่อเขานำเอาแผ่นดำๆ นั่นวางไว้ข้างกายแล้ว จึงหันมาสนใจสิ่งที่นักธนูจะพูดต่อ
          “ฉันที่ได้รับมอบให้สอดแนมบุคคนหนึ่งที่ใช้นามแผงว่า ‘Dark trailer’ แล้วก็ไปพบเข้าว่าเขากำลังวางแผนสุดชั่วร้าย ซึ่งในขณะที่เขากำลังยืนคุยโทรศัพท์ในอพาร์ทเม้นท์นั้นเอง ฉันก็ฟังเนื้อหาการสนทนาได้ประมาณว่า...”
          “พูดได้คล่องจัง ความจำดีแฮะ -เอ๊ะ!?” เรสที่ขัดการเล่าเหลือบไปเห็น
          -สมุดโน๊ตเล็กๆ ที่ผู้เล่าใช้มือขวาถือมันไว้และกำลังอ่านอยู่ ทำเอาเรสแสดงท่าทางตกใจพร้อมประโยคอุทาน –“ขี้โกงงง!!!” เหมือนกับเห็นคนแกล้งยืนพิงรถหรูแต่ความจริงรถตนเองเป็นอีกคันยังไงอย่างนั้น
          “นายก็อย่าไปขัดการเล่าของหล่อนสิ!
          อลิซที่เห็นเหตุการณ์ก็พูดหยุดเรสด้วยทีท่างุดงิด คงเพราะอยากจะฟังสิ่งที่ฮายานะเล่าจนทนไม่ไหว ซึ่งเรสเองก็เงียบแล้วนั่งนิ่งรอฟังต่อ
          “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันจะเล่าต่อแล้วกันนะ”
          ฮายานะก้มหน้าอ่านสมุดโน๊ตต่อไป โดยมีผู้ชมสองคนหันไปมองและตั้งหน้าตั้งตาฟัง เพื่อจะได้ตัดสินใจถูกว่าควรทำอย่างไรกับหล่อนต่อไป
          “เนื้อหาที่พูดคุยโทรศัพท์นั้นเหมือนกับว่าดาร์กเทรลเลอร์กำลังทำสัญญาซื้ออาวุธนิวเคลียร์ โดยมีราคาสูงเกินกว่าเงินที่ตนเองมีอยู่ จึงต้องทำการปล้นผู้คนเพื่อให้ได้เงินมากพอก่อนที่นิวเคลียร์จะสร้างเสร็จ”
          เนื้อหาที่พูดดูเหมือนจะเกี่ยวกับการทำลายล้าง แต่ว่าดาร์กเทรลเลอร์ต้องการจะใช้อาวุธมรณะชิ้นนั้นไปทำอะไรกันแน่

ถึงอย่างนั้นแม้จะมีเนื้อหาคร่าวๆ เพียงเท่านี้ก็จริง แต่หากว่ามันเป็นความจริงล่ะก็ คงไม่มีข้อโต้แย้งที่ทั้งคู่จะต้องปฎิเสธการขอความช่วยเหลือเลย
  โปรดติดตามช่วงต่อไป

ความคิดเห็น